“JKN” ตั้งเป้า Miss Universe คืนทุนใน 3 ปี

เรื่องที่น่าสนใจ เศรษฐกิจ (ในประเทศ - ต่างประเทศ)

“JKN” เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อยอดแบรนด์ “Miss Universe” เล็งออกผลิตภัณฑ์คอสเมติกส์ น้ำดื่มผสมวิตามิน พร้อมผลักดันการท่องเที่ยวไทย มั่นใจคืนทุนได้ภายใน 2-3 ปี

หลังจากที่ บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) ใช้เงินราว 800 ล้านบาท เข้าซื้อกิจการ Miss Universe Organization จาก IMG Worldwide ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Endeavor Group และเป็นเจ้าของแบรนด์ Miss Universe โดยทางผู้บริหาร JKN เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อต่อยอดแบรนด์ Miss Universeภายใต้ MU Lifestyle

นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JKN กล่าวว่า การลงทุนดังกล่าวเชื่อว่าจะคืนทุนได้ภายใน 2-3 ปี อย่างไรก็ตามการลงทุนในครั้งนี้เป็นการเข้าซื้อธุรกิจในกลุ่มของ Miss Universe Organization (MUO) แต่ก่อนที่จะได้มาบริษัทได้เจรจากับบริษัทแม่ Endeavor Group Holdings, Inc. ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่นิวยอร์ก เป็นบริษัทที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ด้านมาร์เก็ตติ้งและคอนเทนต์ ดังนั้นดีลนี้ บริษัทเข้าซื้อจาก IMG Worldwide, LLC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Endeavor Group Holdings, Inc.

ทั้งนี้บริษัท เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อต่อยอดแบรนด์ Miss Universe ภายใต้ MU Lifestyle ไม่ว่าจะเป็น คอสเมติก Miss Universe รวมถึงน้ำดื่มผสมวิตามิน และสินค้าต่าง ๆ ที่สามารถต่อยอดจาก Miss Universe ได้ และเตรียมนำแบรนด์ Miss Universe ผลักดันการท่องเที่ยวได้ เพื่อเป็นการดึงเม็ดเงินจากต่างชาติให้กลับเข้ายังประเทศ เพราะต้องยอมรับว่า ประเทศไทยมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว โดยมีแนวทางที่จะร่วมมือกับทางรัฐบาลต่อไป

“เราต้องรีบเพราะทั่วโลกรู้ว่า การท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่สำคัญ เงินไหลเข้าประเทศจำนวนมหาศาลสามารถทำให้ประเทศรอดจากวิกฤติเศรษฐกิจได้ เพราะในหลาย ๆ ประเทศก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถแข่งขันได้เหมือนกับประเทศไทย”

นอจากนี้ บริษัทเตรียมที่จะเข้าร่วมลงทุนกับอีกหลายแฟรนไชส์ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบินเจ็ท,โรงเรียนสอนนางงาม , โรงแรม , เพนท์เฮ้าส์ หรือ สปาเป็นต้นโดยบริษัทมีความพร้อมทั้งโรงงาน คอนซูเมอร์โปรดักส์ แบรนด์และช่องทางการขาย ซึ่งถือว่าเป็น ecosystem ของบริษัท ที่เข้ามาเสริมพอร์ตโฟลิโอของบริษัทในอนาคต

สำหรับราคาหุ้น JKN ในวานนี้ (27ต.ค.) ยังคงปรับขึ้นร้อนแรงต่อเนื่องเป็นวันที่สอง โดยปิดตลาดที่ 5.6 บาท เพิ่มขึ้น 1.14 บาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 25.56% มูลค่าการซื้อขายรวม 1,507 ล้านบาท